TPL แจงผู้ถือหุ้นใหญ่ "AQUA-สุระ-พงศ์ศักดิ์"ยังถือหุ้นครบไม่ได้ขายออกและไม่ได้รับจัดสรรหุ้นIPOมั่นใจอนาคตโต High Growth นำเงินระดมทุนที่ได้รุกขยายธุรกิจทันที
บมจ.ไทยพาร์เซิล (TPL) ชี้แจงนักลงทุนให้ทราบข้อเท็จจริง เผยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้ง บมจ.อควาคอร์เปอเรชั่น, นายสุระ คณิตทวีกุล และนาย พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี ไม่ได้รับจัดสรรหุ้น IPO ของ TPL แต่อย่างใด และปัจจุบันยังถือหุ้นครบทั้งจำนวนที่เคยมีอยู่แต่เดิม โดยไม่ได้ทำการเทขายออกมาในวันแรกที่หุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อ 30 มิ.ย. 2566 แต่อย่างใด
ด้านผู้บริหาร "ภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) (TPL) เผยว่า “มั่นใจอนาคตบริษัทฯเติบโตแบบ High Growth เหตุหลังจากได้รับเงินระดมทุน บริษัทฯเริ่มเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนทันทีคือ ลงทุน EV Truck-เตรียมระบบ IT-สร้างสถานีชาร์จ- ขยายศูนย์คัดแยกสินค้าในต่างจังหวัด และเพิ่มจุดกระจายสินค้า เพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ มั่นใจปีนี้ รายได้โตเกิน 15% ตามแผน”
นอกจากนี้ นายภัทรลาภ ชี้แจงว่า “ตามที่ปรากฏข่าวตามสื่อสาธารณะหลายแห่ง เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่ได้รับการจัดสรรหุ้น IPO ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนเกิดความเข้าใจผิด บริษัทขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้ 1.ผู้ถือหุ้นของบริษัทตามที่ปรากฎในข่าว ได้แก่ นายสุระ คณิตทวีกุล และนายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี นั้นได้เข้ามาลงทุนในช่วงที่บริษัทมีการลงทุนขยายธุรกิจตั้งแต่ในปี 2564 และบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ได้เข้ามาลงทุนในปี 2565 2. บริษัทยืนยันว่าผู้ถือหุ้นตามข้อ 1 ทุกราย ไม่ได้รับการจัดสรรหุ้นIPO ตามที่เป็นข่าว และยังคงถือหุ้นจำนวนเท่าเดิม และ 3. บริษัทได้รับการยืนยันจากผู้ถือหุ้นตามข้อ 1 ทุกรายว่าไม่ได้มีการขายหุ้นในวันแรก และยังถือหุ้นครบทั้งจำนวน
ทั้งนี้บริษัทฯ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้านโครงสร้างการถือหุ้นและการประกอบธุรกิจ โดยจะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับจากการระดมทุน (IPO) ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ได้เปิดเผยไว้ในหนังสือชี้ชวน เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทและผูัลงทุนต่อไป”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TPL กล่าวต่อว่า “ ขั้นแรกเราจะนำเงินไปซื้อยานยนต์ EV ตามแผนการดำเนินงานเพื่อประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้กว่า 50% ซึ่งช่วยผลักดันให้มีอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) เพิ่มสูงขึ้นรวมไปถึงลงทุนขยายศูนย์คัดแยกสินค้าในต่างจังหวัด ลงทุนไอที และเพิ่มจุดกระจายสินค้า รองรับดีมานด์ลูกค้า SMEsในต่างจังหวัด เพิ่มฐานรายได้ ทำให้มั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตมากกว่า 15% ตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า”